สมัย หลวงปู่ชอบ บำเพ็ญเพียรอยู่วัดป่าแห่งหนึ่ง ท่าน พบว่าในตอนเช้า ๆจะมีชายหนุ่มผู้ หนึ่งมาถวายจังหันเสมอ เขาจะกลับ ไปพร้อมญาติโยมชาวบ้าน แต่แปลก ตรงที่เวลามาถวายจังหันเขาจะแยก นั่งคนเดียวอยู่ห่างๆ จากชาวบ้าน หลวงปู่ชอบรู้สึกสงสัยจึงได้แอบถาม ชาวบ้านดูว่าชายหนุ่มผู้นั้นเป็นลูกเต้า เหล่าใคร ชาวบ้านตอบว่าไม่ใช่คนใน หมู่บ้านตำบลนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่า เป็นใคร
อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ชายหนุ่ม คนนั้นก็มาถวายจังหันอีกและแยกนั่ง ห่างๆ จากญาติโยมชาวบ้าน เมื่อพระ เณรฉันข้าวเสร็จแล้วชาวบ้านก็กราบ ลาทยอยกันกลับบ้าน ชายหนุ่มผู้นั้น ก็กลับ หลวงปู่ชอบจึงแอบสะกดรอย ตามไปห่างๆ ก็ต้องพบกับความ ประหลาดใจ เพราะชายหนุ่มผู้นั้นได้เดินลง ไปในสระน้ำเก่าแก่ในบริเวณวัดป่า นั้นเอง
เมื่อลงไปจนจมน้ำมิดหายไป แล้ว ท่านก็เฝ้าดูอยู่นานก็ไม่เห็นโผล่ ขึ้นมาจึงกลับกุฏิ เช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มผู้นั้นมา ถวายจังหันอีก เมื่อถึงตอนกราบลากลับหลวงปู่ชอบได้เรียกไว้ถามไถ่ เอาความว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? บ้านอยู่ไหน? เมื่อวานนี้ลงไปในสระ น้ำแล้วไม่โผล่ขึ้นมาเลย เขาเป็น ผีหรือเป็นคน?
ชายหนุ่มลึกลับผู้นั้นได้สารภาพ ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นโอปปาติกะ พญานาคอยู่ในสระน้ำแห่งนั้น มีความเคารพนับถือในศีลาจารวัตรของพระป่าที่เคร่งครัดในพระธรรม วินัย จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์มาตัก บาตรทุกเช้า หลวงปู่ชอบพอใจในศรัทธาของ พญานาคมาก ได้โมทนาสาธุให้ศีลให้พรขอให้พญานาคเจริญรุ่งเรืองในพระศาสนา เกิดชาติหน้าขอให้ได้เป็นมนุษย์ ได้บรรพชาอุปสม บทบำเพ็ญเพียร บรรลุมรรคผลนิพพาน พญานาคพอใจมากได้กราบ ลาไป
ตั้งแต่วันนั้นพญานาคหนุ่มก็ไม่ได้มาถวายจังหันอีกเลย คงเกรงชาวบ้านจะรู้ความลับของตน แล้วมารบกวนในภายหลังก็เป็นได้ หลวงปู่ชอบกับหลวงปู่หลุยเป็น พระสหธรรมิกที่รักใคร่นับถือกันมาก มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ หลวงปู่หลุยจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าถ้ำผาบิ้ง จั งหวัดเลยท่านได้เล่าให้ ญาติโยมฟังว่า ที่ถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีพญานาคมีช่องหรือรูทางขึ้นลงของพญานาคอยู่ในถ้ำผาบิ้ง เป็นช่องขนาดตัวคน สามารถคลานลงไปได้ วันดีคืนดีจะส่งเสียง ร้องดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงฟ้าร้อง
เคยมีคนใจคอกล้าหาญไม่กลัวตาย เอาเชือกผูกเอวคลานลงไปในรูของพญานาค รูนั้นลึกชอนไชลงไปจนทะลุออกแม่น้ำ เมื่อทดลองเอาผลส้มกลิ้งลงไปส้มนั้นกลิ้งลงไปถึงแม่น้ำ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม มีประสบการณ์ได้เกี่ยวข้องกับพญานาคหลายครั้งหลายครา สมัยเมื่อศิษยานุศิษย์นิมนต์ท่านไปโปรดญาติโยม ที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตอนที่ญาติโยม พาท่านไปชมน้ำตกในแองการานั้น ท่านเล่าว่า พญานาคในน้ำตกแองการาแห่ง นั้นได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมานมัสการท่าน!
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ชอบเดินธุดงค์ อยู่แถวแม่น้ำเหียง จังหวัดเลย แม่น้ำนี้ไหลออกทางแม่น้ำโขง ท่านอยากจะข้ามแม่น้ำโขงไปธุดงค์ทางฝั่ง ประเทศลาว แต่ไม่มีเรือนั่งข้ามไป ดังนั้นเมื่อกางกลดพักแรมที่ริมฝั่งแม่น้ำเหียงในคืนนั้น ขณะนั่งเจริญภาวนา ก็เกิดนิมิตภายชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามานั่งกราบ 3 ครั้ง แล้วพูดว่าได้ทราบว่าพระคุณเจ้าจะข้ามไปแสวงวิเวกทางฝั่งลาว พวกข้าพเจ้า รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง อยากจะขอนิมนต์พระคุณเจ้า ข้ามไปฝั่งโน้นโปรดสัตว์ผู้ยากให้พ้นจากความหลง โมหะอวิชชา ในนิมิตสมาธินั้นหลวงปู่ชอบได้รับนิมนต์ด้วยอาการสงบ ยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร อันเป็นอากัปกิริยาสำรวมตนของพระสงฆ์
ครั้นรุ่งเช้า หลวงปู่ชอบไป บิณฑบาตในหมู่บ้านและกลับมาฉันข้าว แล้วท่านก็เก็บกลดเครื่องบริขารธุดงค์ ออกเดินทางเลียบมาตามริมฝั่งแม่น้ำเหียง ใกล้ๆกับแม่น้ำโขง มองออกไปในลำน้ำเหียงมีแต่ความว่างเปล่าเงียบสงบ สายลมพัดพลิ้ว ดูวังเวง ไม่เห็นวี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆเลย
แต่แล้วในพริบตานั้น จู่ๆก็เห็นเรือน้อยลำหนึ่งพุ่งออกจากฝั่งตรงข้าม ตรงมาที่หลวงปู่ คนเรือพายวาดหัวเรือตัดกระแสน้ำเหียงเข้ามาหาอย่างจงใจ เมื่อพายเข้ามาถึงตลิ่ง
แล้วคนพายได้ร้องขึ้นว่า “นิมนต์ลงเรือเถิดพระคุณเจ้า”
หลวงปู่ชอบได้ถามว่า “จะไปทางไหนกันเล่าโยม”
ชายคนนั้นตอบว่า “ข้าน้อยจะไปฝั่งลาวยินดีรับ หลวงพ่อไปฝั่งโน้น”
หลวงปู่ชอบจึงไปลงเรือน้อยลำนั้น คนเรือมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ความเคารพนอบน้อมอย่างน่าสังเกต เขาวาดหัวเรือออกจากตลิ่งอย่างคล่องแคล่วชำนาญ พาเรือตัดออกกลางลำน้ำเหียงเข้าสู่ลำน้ำโขงอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าเข้าสู่ฝั่งประเทศ ลาว
เมื่อเรือเข้าถึงหาดทรายฝั่งลาวแล้ว หลวงปู่ชอบก็ประคองถุงบาตรและกลดลงจากเรือ พอเหยียบหาดทรายได้ถนัดยืนมั่นคงดีแล้ว ก็หันกลับมาจะขอบใจให้พรเจ้าของเรือ แต่ก็ต้องประหลาดใจเรือน้อยลำนั้นหายไปเสียแล้ว ท่านมองไปทั่วลำน้ำโขงมีแต่ความเวิ้งว้างสงบเงียบ กระแสลมพัดพลิ้วเป็นระยะ ทำให้รู้สึกวังเวงใจ แต่ในทันใดนั้น ก็ได้เห็นจระเข้ตัวหนึ่งลอยฟ่องขึ้นเหนือผิวน้ำโขง หันหัวอันใหญ่โตของมันมามอง หลวงปู่ชอบนัยน์ตาแป๋ว
ท่านจึงกำหนดจิตเป็นสมาธิส่งกระแสพลังจิตไปยังจระเข้ลึกลับตัวนั้น เป็นเชิงทักทายถามไถ่ พลันก็รู้ว่า จระเข้ยักษ์ใหญ่นั้นเป็นพญานาคแปลงร่างเป็นจระเข้ และเป็นผู้แปลงร่างเป็นเรือ เป็นคนพายเรือพาท่านข้ามน้ำมาส่งที่ฝั่งลาวนั่นเอง! แต่เพื่อความแน่ใจ ท่านจึงทดลองเดินไปบนหาดทรายกว้าง พอเดินไกลมาพอสมควรแล้วจึงได้หันไปมองอีก ก็ยังเห็นจระเข้ใหญ่ตัวนั้นลอยฟ่องเหมือนท่อนซุงมองท่านอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ ท่านจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาอุทิศกุศลให้ แล้วพูดออกมาว่า “เอาล่ะ เราขอบใจท่าน ที่ช่วยเป็นภาระให้เราข้ามมายังฝั่งนี้ได้เรียบร้อย เราจะเดินทางต่อไป ท่านอย่าเป็นห่วงเลย” เมื่อหลวงปู่ชอบกล่าวจบ จระเข้ลึกลับตัวนั้นก็แสดงอาการชูหัวขึ้นสูง 3 ครั้ง แสดงความคารวะ แล้วหมุนตัวจมวูบหายไปในลำน้ำโขง เป็นที่น่าพิศวงยิ่งนัก
หลวงปู่ชอบพูดว่า ...เราเคยเห็นพญานาคเหมือนรูปเขียนที่ผนังโบสถ์นั่นแหละ พญานาคมีสามหงอนบ้าง มีสี่หงอนบ้าง มีเจ็ด หงอนบ้าง พญานาคมาด้วยกันทั้งตัว ผู้ตัวเมียก็เคยเห็น มีหงอนสีแดง มีแผงคอเหมือนม้า ลำตัวใหญ่ยาวเกล็ดสีดำเป็นมันเลื่อม บางครั้งพญานาคก็มาแบบ มนุษย์ ทรงเครื่องแบบกษัตริย์สง่างามมาก มีข้าราชบริพารแห่แหนมาเหมือนขบวนพระราชา เราพบมาหลายแบบ พญานาค จำแลงกายเป็นงูตัวเล็กๆก็มี แปลงกายเป็นคนนุ่งห่มขาวก็มี เป็นผู้หญิงก็มี เป็นชาวบ้านธรรมดาก็มี แปลงร่าง เป็นเสือก็มี แล้วแต่ที่ว่า พญานาคนั้น ต้องการปรากฏให้เราเห็นในรูปแบบใด
ครูบาอาจารย์หลายองค์ ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตเถระ ต่างมีประสบการณ์ได้เห็นพญานาค บางท่านเห็นด้วยสายตาปกติธรรมดาของคนเรา แต่บางท่านเห็นพญานาคแต่ในนิมิตสมาธิขณะนั่งเจริญภาวนาเท่านั้น ไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับบุเพวาสนา บุญ บารมีที่สร้างมาต่างกันนั่นเอง
บทความโดย : เพจ ตำนาน ความเชื่อ ลี้ลับ พญานาค
ห้ามคัดลอกไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น