เรื่องราวของครุฑกับนาคนั้น เป็นเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยส่วนมากเรามักได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพญานาคเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพญานาคนั้น มีความใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของมนุษย์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา ทำให้เรื่องราวของพญานาคมักปรากฏอยู่ทั่วไป
หลายท่านคงเคยได้อ่านเรื่องราวของครุฑกับนาคในเบื้องต้นกันไปแล้วว่า ที่จริงแล้ว ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่นี้เป็นพี่น้องกัน แต่ด้วยเหตุที่พระมารดาของทั้งสองนั้นไม่ถูกกัน จนเกิดเรื่องราวบานปลาย ด้วยอุบายของนางกัทรุมารดาของเหล่าพญานาค ที่โกงพนันนางวินตามารดาของพญาครุฑ จนทำให้นางวินตาต้องตกเป็นทาสของนางกัทรุถึง 500 ปี และพญาครุฑก็เกิดความเคียดแค้น จำต้องหาทางไถ่ตัวมารดาให้เป็นอิสระ ทำให้ทั้งพญาครุฑและพญานาคต่างก็ต้องเป็นศัตรูกันในเวลาต่อมา
เมื่อพญาครุฑ หรือ"พญาเวนไตย"เติบโตขึ้น ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย จึงต้องการขอไถ่ตัวนางวินตาจากเหล่านาค พวกนาคก็ยินยอมโดยดี แต่มีข้อแม้ว่า พญาเวนไตยต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์มาให้พวกตนได้ดื่มกินเสียก่อน เพราะเชื่อว่า น้ำอัมฤตนั้นผู้ใดได้ดื่มกินก็จักมีอิทธิฤทธิ์ และยังเป็นอมตะไม่มีวันตาย
เมื่อเหล่าพญานาคร้องขอดังนั้น พญาเวนไตยก็ตกลงแต่โดยดี โดยก่อนออกเดินทางพญาเวนไตยได้ไปขอพรจากพระมารดา ซึ่งนางวินตาได้บอกว่า ระหว่างทางหากรู้สึกหิว ให้จับกินเฉพาะพวกนิษาท ซึ่งหมายถึง คนป่าเถื่อน และ พวกโจรป่า เท่านั้น และห้ามทำอันตรายต่อพวกพราหมณ์ หรือผู้ถือศีลโดยเด็ดขาด พญาเวนไตยรับคำพระมารดาและออกเดินทางทันที
เมื่อทราบดังนั้น พญาเวนไตยจึงถลาขึ้นสู่สวรรค์ เพื่อไปนำน้ำอมฤตมาให้พวกนาค ในระหว่างทางได้บังเกิดความหิว ได้พบกับเต่าและช้างซึ่งกำลังต่อสู้กัน เต่าและช้างมีขนาดใหญ่มาก พญาเวนไตยจึงใช้กรงเล็บจิกสัตว์ทั้งสอง แล้วบินมาเกาะบนต้นไม้ใหญ่หมายจะกินเป็นอาหาร ด้วยความที่ทั้งสาม คือ พญาเวนไตย ช้าง และเต่า มีน้ำหนักมากมหาศาล จึงทำให้กิ่งไม้ใหญ่นั้นทานน้ำหนักไม่ไหวและหักในทันที
บนกิ่งไม้นั้นมีพวกฤาษีแคระขนาดเท่านิ้วมืออาศัยอยู่ พญาเวนไตยเกรงจะเกิดอันตราย จึงคาบกิ่งไม้แล้วค่อยๆวางลงบนพื้นดิน จนสามารถช่วยชีวิตเหล่าฤาษีแคระเอาไว้ได้ พวกฤๅษีเห็นว่า พญานกตนนี้มีจิตใจงดงามนัก จึงให้ชื่อว่า "ครุฑ" แปลว่าผู้รับภาระอันหนัก ทั้งยังให้พรว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใดให้สำเร็จตามประสงค์ และให้มีพละกำลังมหาศาล ไม่มีผู้ใดต้านทานได้
ครั้นบินไปถึงสวรรค์ ครุฑก็กระพือปีกพัดให้ฝุ่นตะหลบไปทั้งอากาศ และได้ต่อสู้กับเหล่าทวยเทพ รวมถึงพระอินทร์ผู้รักษาน้ำอมฤต เหล่าเทพไม่สามารถสู้กำลังของพญาครุฑ ซึ่งได้รับพรให้มีอิทธิฤทธิ์มากเหนือผู้ใดได้ ต่างก็พ่ายแพ้จนหมดสิ้น ยังคงมีเพียงพระอินทร์ ผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งปวงเพียงองค์เดียว
พระอินทร์ใช้สายฟ้า ซึ่งเป็นเทพศาสตราประจำตัว ในการฟาดฟันกับพญาครุฑ แต่ก็ยังไม่สามารถทำอันตรายต่อพญาครุฑได้ แต่ด้วยความต้องการแสดงคารวะต่อพระอินทร์ พญาครุฑจึงบันดาลให้ขนร่วงจากกายหนึ่งเส้น เพื่อให้เห็นว่าเทพศาสตราของพระอินทร์มีฤทธานุภาพพอที่จะสร้างอันตรายแก่ตนได้ และพระอินทร์ก็ยอมแพ้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้พญาครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งแปลว่า"ขนวิเศษ หรือผู้มีปีกอันงาม" และจึงเป็นที่เลื่องลือในนาม สุบรรณเวนไตย ในเวลาต่อมา
เหล่าทวยเทพเมื่อไม่เห็นทางที่จะต้านฤทธิ์ได้ จึงจำต้องเปิดทางให้พญาครุฑเข้าไปเอาน้ำอมฤต ก่อนถึงที่เก็บน้ำอมฤตมีกองเพลิงร้อนขนาดที่สามารถเผาผลาญทุกชีวิตให้เป็นจุลได้ พญาครุฑจึงแปลงกายให้ใหญ่โต แล้วจึงบินไปอมน้ำจากแม่น้ำ มาดับกองเพลิงนั้น กองเพลิงก็มอดไปในที่สุด
จากนั้นถัดไปยังมีกรงจักรวิเศษที่แหลมคมมากขวางทางอยู่ หากผู้ใดผ่านเข้าไป ก็สามารถตัดร่างให้แหลกเหลวกลายเป็นจุลได้ พญาครุฑเห็นดังนั้น จึงแปลงกายให้เล็กเท่าธุลีจึงบินลอดผ่านคมกรงจักรนั้นไปได้
ที่ด้านในสุดยังมีนาคสองตนเฝ้าน้ำอมฤตอยู่ นาคสองตนนี้มีดวงตาที่ไม่กระพริบและเฝ้ามองผู้ที่ผ่านเข้ามาตลอดเวลา นาคนั้นมีพิษมากมายมหาศาล หากนาคมองเห็นผู้ใดเข้ามาลักน้ำอมฤตย่อมพ่นพิษร้ายออกสังหารผู้นั้นได้ทุกเมื่อ ครุฑเห็นเช่นนั้นจึงกระพือปีกให้เกิดฝุ่นตลบขึ้นในอากาศ ทำให้นาคทั้งสองมองไม่เห็น และไม่สามารถกระทำอันตรายต่อพญาครุฑได้ พญาครุฑจึงสังหารนาคทั้งสองตนได้ในที่สุด
ทางด้านพระนารายณ์เห็นพญาครุฑกำลังจะเข้าไปนำน้ำอมฤตออกมา จึงเข้าไปขัดขวาง ทั้งสองต่อสู้กันเป็นเวลานานอย่างเป็นสามารถ แต่ก็ไม่มีผู้ใดแพ้หรือชนะได้ จึงตกลงที่จะหย่าศึก โดยครุฑขอพรให้ตนเป็นอมตะ ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันตาย ขอให้มีสามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้ และขอพรให้อยู่สูงกว่าพระนารายณ์เป็นข้อสุดท้าย ในทางกลับกัน พระนารายณ์ทรงขอให้พญาครุฑเป็นเทพพาหนะของพระองค์ จึงเป็นที่มาของพระนารายณ์ทรงครุฑในเวลาต่อมา
พระนารายณ์ทรงอยากทราบว่า เหตุใดครุฑจึงต้องขึ้นมาลักน้ำอมฤต พญาครุฑกราบทูลว่า ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพราะต้องการช่วยมารดาให้เป็นอิสระ เมื่อแจ้งดังนั้น พระนารายณ์จึงตรัสว่า น้ำอมฤตนี้ไม่สามารถเอาไปได้ ครุฑจึงออกอุบายขอนำน้ำอมฤตไปให้พวกนาคก่อน แล้วให้พระนารายณ์ตามมานำกลับไป
จากนั้นพญาครุฑนำน้ำอมฤตมาให้พญานาค ด้านเหล่านาคเห็นพญาครุฑนำน้ำอมฤตมาได้ จึงยอมปล่อยนางวินตาผู้เป็นมารดาให้เป็นอิสระ แต่ไม่ทันที่นาคจะดื่มกินน้ำอมฤต พระอินก็ตามมาเอาคืนไปเสียก่อน ยังคงมีเพียงหยดน้ำเล็กน้อย ที่ตกลงบนใบหญ้าคา เหล่าพญานาคเห็นดังนั้น ก็ได้แต่ยื้อแย่งเลียน้ำอมฤตบนใบหญ้าคาด้วยความรีบร้อน แต่ไม่ทันได้สัมผัสกับน้ำอมฤต หญ้าคาก็บาดลิ้นเสียก่อน เป็นเหตุให้นาคและสัตว์ในตระกูลของงูมีลิ้นสองแฉกมาจนถึงปัจจุบัน ระหว่างนั้นเองพระนารายณ์จึงเสด็จลงมารับน้ำอมฤตจากพระอินทร์ และนำกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้พญานาคและพญาครุฑ ต่างก็เกลียดชัง และตั้งตนเป็นศัตรูกัน นับจากนั้นเป็นต้นมา
พญาเวนไตยหรือพญาครุฑนั้น มีชายาชื่อนางอุนนติหรือนางวินายกา และมีโอรสสองตน ชื่อ สัมพาทีและสดายุ ครุฑในตำนานสันสกฤตนั้นมีเพียงตนเดียว และไม่มีที่อยู่แน่นอนเพราะต้องย้ายตามเสด็จพระนารายณ์ไปเรื่อยๆ ต่างกับครุฑในคติพุทธศาสนาที่มีหลายตน และมีที่อยู่เป็นวิมานฉิมพลี ซึ่งอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุนั่นเอง
จากตำนานอันยิ่งใหญ่ของครุฑที่ได้กล่าวมา ที่ทำให้คนโบราณเชื่อว่า ครุฑนั้นเป็นตัวแทนของพลังอำนาจ บารมี ความยิ่งใหญ่ และความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังสื่อไปถึงพลังด้านดี ที่สามารถเอาชนะอำนาจชั่วช้าทั้งมวลได้ทุกอย่างนั่นเอง
บทความโดย :เพจตำนาน ความเชื่อ ลี้ลับ พญานาค https://www.facebook.com/NagaHistory/
ห้ามคัดลอกไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น